• COP27: EU ประกาศ Forest Partnership กับ 5 ประเทศหุ้นส่วน

    8 พ.ย. 2565 - Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมการธิการยุโรป ลงนามบันทึกความเข้าใจ Forest Partnership กับประเทศกายอานา, มองโกเลีย, สาธารณรัฐคองโก, ยูกานดา และแซมเบีย โดยมี Mohamed Irfaan Ali ประธานาธิบดีประเทศกายอาน่า, Ukhnaagiin Khürelsükh ประธานาธิบดีมองโกเลีย, Hakainde Hichilema ประธานาธิบดีแซมเบีย, Yoweri Museveni ประธานาธิบดีประเทศยูกานดา และตัวแทนของประธานาธิบดีสาธารณรัฐคองโก Denis-Christel Sassou Nguesso ร่วมการลงนาม /*! elementor - v3.6.2 - 04-04-2022 */ .elementor-widget-text-editor.elementor-drop-cap-view-stacked .elementor-drop-cap{background-color:#818a91;color:#fff}.elementor-widget-text-editor.elementor-drop-cap-view-framed .elementor-drop-cap{color:#818a91;border:3px solid;background-color:transparent}.elementor-widget-text-editor:not(.elementor-drop-cap-view-default) .elementor-drop-cap{margin-top:8px}.elementor-widget-text-editor:not(.elementor-drop-cap-view-default) .elementor-drop-cap-letter{width:1em;height:1em}.elementor-widget-text-editor .elementor-drop-cap{float:left;text-align:center;line-height:1;font-size:50px}.elementor-widget-text-editor .elementor-drop-cap-letter{display:inline-block} การลงนามนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการประชุม COP27 UN Climate Change Conference โดย Forest Partnership เป็นความร่วมมือของสหภาพยุโรป (EU) กับประเทศหุ้นส่วนภายใต้นโยบาย EU Green DealForest Partnership เป็นกรอบความร่วมมือของ EU รูปแบบบูรณาการ ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานร่วมกับประเทศหุ้นส่วนในด้านป่าไม้ เพื่อสนับสนุนประเทศหุ้นส่วนในการฟื้นฟูป่า เพื่อนำไปสู่การปกป้องสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวพันธุ์ เพราะป่าไม้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน และเป็นปัจจัยสำคัญในการปรับตัวและบรรเทาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง“ป่าไม้มีความสำคัญหลายด้าน ทั้งในด้านการต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ปกป้องความหลากหลายทางชีวพันธุ์ และสร้างรายได้ยังชีพให้กับประชากรหลายล้านคนทั่วโลก  80% ของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์อยู่อาศัยในป่าไม้ ในขณะเดียวกันคนอีก 1.6 พันล้านคนพึ่งพิงป่าไม้ในการหาทรัพยากรดำรงชีพ เช่น อาหารและเชื้อเพลิง ด้วยผลเสียมากมายที่จะตามมาหากป่าไม้หายไป การดำเนินการเพื่อหยุดการทำลายป่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ พวกเราจึงต้องเข้าทำ Forest Partnership กับประเทศหุ้นส่วนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษาป่าให้มีสภาพสมบูรณ์ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ด้วยการทำ Forest Partnership พวกเราจะสนับสนุนประเทศหุ้นส่วนในการบริหารจัดการป่าไม้ และรักษาป่าไม้อย่างยั่งยืน เพราะป่าไม้นั้นเป็นทรัพยากรธรรมชาติของโลกที่เต็มไปด้วยสรรพคุณมากมายในการต่อกรกับสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวพันธุ์ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน” Ursula von der Leyen กล่าวForest Partnershipผ่านการทำ Forest Partnership ประเทศหุ้นส่วนยืนยันเจตนารมย์ทางการเมืองในระยะยาว เพื่อการดำเนินงานร่วมอย่างใกล้ชิดในด้านต่างๆ ต่อไปนี้สร้างการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาธรรมาภิบาลป่าไม้ และสร้างบรรยากาศทางการค้าที่เอื้ออำนวยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจป่าไม้หมุนเวียน เกิดห่วงโซ่คุณค่าป่าไม้ที่ยั่งยืนรวมถึงการเข้าถึงตลาด ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน และการยกระดับสังคมและเศรษฐกิจลดการสูญเสียป่าและป่าเสื่อมโทรมหาหนทางในการสนับสนุนการผลิตและค้าผลิตภัณฑ์ป่าไม้ที่ถูกกฎหมายและยั่งยืนForest Partnership จะมีลักษณะเฉพาะมุ่งขับเคลื่อนด้านอุปสงค์ และสอดคล้องกับบริบท ความต้องการ และเป้าหมายของประเทศหุ้นส่วนความเป็นมาในการประชุม UN Climate Change Conference COP26 เมืองกลาสโกลว์ EU ประกาศ Forest Partnership และให้ปฏิญญาสนับสนุนเงินจำนวน 1 พันล้านยูโรกับ Global Forests Finance Pledge1 ปีผ่านไปเวลาเดียวกับ COP27 จึงเกิดการเซ็น Forest Partnership กับ 5 ประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งมั่นของ EU ในการดำเนินการต่อปฏิญญาจาก COP26 อย่างเป็นรูปธรรม เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนมากไปกว่านี้ EU ยังได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินงานภายนอกสหภาพ โดย 35% ของงบประมาณอยู่ภายใต้เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม และอีก 7.5% ภายใต้เป้าหมายความหลากหลายทางชีวพันธุ์ Source: COP27: EU launches Forest Partnerships with five partner countries (2022) European Commission – European Commission. European Commission. Available at: https://ec.europa.eu/commission/presscorner/detail/en/ip_22_6653  (Accessed: November 11, 2022).


    Continue reading
  • European Parliament ลงมติให้นโยบายต่อต้านการลดลงของป่าเข้มงวดขึ้น

    European Parliament ต้องการให้มาตรการต่อต้านการลดลงของป่าเข้มงวดขึ้น วันที่ 13 ก.ย. ณ เมือง Strasbourg เสียงส่วนใหญ่ใน European Parliament มีมติให้กฎระเบียบใหม่ของ EU ซึ่งกำหนดให้บริษัทตรวจทานข้อมูลสินค้าว่าไม่ได้มาจากการผลิตที่ทำลายป่า ขยายกลุ่มสินค้าที่ครอบคลุม WWF ระบุว่าการบริโภคของ EU ในกลุ่มผลิตภัณฑ์นำเข้ามีส่วนในการลดลงของป่าทั่วโลกถึง 16% ส่งผลให้ EU เป็นกลุ่มที่ทำลายป่าเขตร้อนมากที่สุดรองจากประเทศจีน เพื่อแก้ปัญหานี้ European Commission จึงเสนอร่างกฎระเบียบให้บริษัทต้องทำ duty of care หรือ due diligence เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่นำมาขายในตลาด EU ไม่ได้มาจากการผลิตที่ทำให้เกิดการลดลงของป่า หรือ ทำให้ที่ดินป่าเสื่อมโทรมผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมภายใต้ร่างกฎระเบียบในร่างกฎระเบียบเสนอโดย European Commission กำหนดขอบเขตสินค้าที่ควบคุมไว้คือ ปศุสัตว์ โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น หนังสัตว์ ช็อกโกแลต เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆตอนนี้ European Parliament เรียกร้องให้ขยายกลุ่มสินค้าไปยัง สุกร แกะ แพะ สัตว์ปีก ข้าวโพด ยางพารา ถ่าน และผลิตภัณฑ์กระดาษพิมพ์ และต้องการให้ขยายประเภทที่ดินป่าที่ควบคุมไปยังป่าประเภทอื่นเพิ่มจากที่ร่างกฎระเบียบระบุไว้ Saskia Bricmont จากพรรค Ecolo  อธิบายว่าการขยายประเภทที่ดินไปยังที่ป่าอื่น จะช่วยปกป้องพื้นที่ป่าที่ไม่ได้มีต้นไม้ชุกชุม ทั้งนี้ พรรค Green ก็ยังคงเสียดายที่กฎระเบียบไม่ได้ปกป้องระบบนิเวศอื่น นอกจากป่าด้วยมากกว่านี้ยังมีการเรียกร้องจากสมาชิก European Parliament ให้มีกฎข้อบังคับต่อสถาบันการเงินด้วย เพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมของสถาบันการเงินไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า Sara Matthieu จากพรรค Groen กล่าวว่า “พวกเราเห็นว่ากฎระเบียบไม่ควรมุ่งไปที่ผู้ผลิตเท่านั้น แต่ควรมุ่งไปที่สถาบันการเงินที่ทำให้การสูญเสียความหลากหลายทางชีวพันธุ์เกิดขึ้นได้ด้วย ถ้าพวกเราไม่เริ่มบังคับสถาบันการเงิน เท่ากับว่าพวกเราก็ไม่ได้เริ่มแตะต้องต้นตอใหญ่หนึ่งของปัญหา”สมาชิก European Parliament ส่วนใหญ่มีมติให้กฎระเบียบเข้มงวดขึ้น โดยนับจำนวนเสียงได้ 453 ต่อ 57 อีก 127 งดออกเสียง อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าการเจรจาต่อไประหว่าง European Commission และกลุ่มประเทศสมาชิก EU จะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะฝ่ายประเทศสมาชิก EU ก็ตั้งจุดยืนของกลุ่มไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งจุดยืนดังกล่าวได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่าง Greenpeace และ WWF ที่ประณามว่าจะทำให้ป่าจำนวนมากใน EU ไม่ได้รับการปกป้อง และทำให้การปฏิบัติที่ไม่เป็นมิตรต่อป่าดำเนินต่อไปได้ด้าน European Commission ก็แสดงความกังวลต่อการขยายขอบเขตการควบคุม โดย Virginijus Sinkevicius จาก European Commission กล่าวว่า “การพัฒนาควรเป็นไปทีละขั้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กว่าการใส่ทุกอย่างลงไปจนเกินความสามารถของระบบ ทำให้เสี่ยงต่อการล้มเหลวของระบบทั้งหมด” ตอนนี้ Virginijus กำลังรอผลการวิเคราะห์ที่จะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เสนอให้เพิ่มเข้ามา เป็นผลิตภัณฑ์ที่การบริโภคใน EU ส่งผลต่อการทำลายป่าเป็นจำนวนมากจริงEuropean Commission ยังเน้นย้ำเรื่องภาระที่จะเกิดต่อผู้ประกอบการด้วย โดย Christophe Hansen จากพรรค Luxembourg Christian Democrat ได้ยื่นเรื่องต่อ European Parliament เสนอให้มีการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและเทคนิคกับเกษตรรายย่อยสมาชิกสภา European Parliament ชาวเบลเยี่ยม Tom Vandenkdelaere (CD&V) เห็นว่าหนึ่งในประโยชน์ของกฎระเบียบใหม่นี้คือจะช่วยลดความเสียเปรียบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการที่มีหนังสือรับรองอยู่แล้ว เช่น หนังสือรับรองการเพาะปลูกถั่วเหลืองที่มีความรับผิดชอบMarie Arena จากพรรค Socialist Party ประเทศเบลเยี่ยม สนับสนุนให้กฎระเบียบปกป้องสิทธิของชนพื้นเมืองและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย โดย Marie ชี้ว่าในรอบศตวรรษที่ผ่านมา มีรายงานการฆาตกรรมนักอนุรักษ์เกิดขึ้นกว่า 1,540 กรณี ส่วนมากเกิดในทวีปป่าอะแมซอนและประเทศอินโดนีเซียSource: (2022) European Parliament wants stricter policy against deforestation. The Brussels Times. Available at: https://www.brusselstimes.com/288890/european-parliament-votes-for-stricter-policy-against-deforestation (Accessed: October 28, 2022).


    Continue reading
  • ข่าวแปลจาก DW: สหภาพยุโรปและประเทศไทยสรุปข้อตกลงความร่วมมือปิดทศวรรษแห่งความสับสน

    ข้อตกลงดังกล่าวตอบสนองความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปที่จะขยายฐานอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ประเทศไทยเองก็ต้องการเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศให้หลากหลายขึ้น ข้อตกลงนี้ล่าช้าไปเกือบทศวรรษหลังเกิดการรัฐประหาร ในที่สุดสหภาพยุโรปก็ได้สรุปข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement: PCA) กับประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อตกลงฉบับที่ 6 กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้นหลังจากการรัฐประหารเมื่อ 8 ปีก่อน ข้อตกลงนี้อาจเป็นแรงผลักดันที่ดีให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอีกครั้งขณะนี้ข้อตกลง PCA อยู่ระหว่างรอการลงนามอย่างเป็นทางการ โดยข้อตกลงจะเพิ่มความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างรอบด้าน ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนไปจนถึงการต่อต้านการก่อการร้าย บรัสเซลส์มองว่าการทำข้กตลงเป็นก้าวสำคัญเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ของ EU กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่ความสำคัญต่อสหภาพยุโรปทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ และ เศรษฐกิจ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (ETFTA) เริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 แต่ถูกระงับไว้หลังการรัฐประหารของประเทศไทยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายห่างเหินไปเป็นเวลาหลายปี การรัฐประหารยังกดเบรกแผนข้อตกลง PCA ที่ตกลงในปี 2556 โดยตัดเรื่องข้อตกลงการค้าเสรีอย่างเต็มรูปแบบออกข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วน (PCA) กลับสู่โต๊ะการเจรจาอีกครั้งในปลายปี 2562 คณะมนตรียุโรป (European Council) ซึ่งเป็นหน่วยงานตัดสินใจหลักของสหภาพยุโรปอนุญาตเริ่มการหารือ PCA อย่างเป็นทางการกับไทยอีกครั้ง หลังจากประเทศไทยจัดการเลือกตั้งที่ถูกดีเลย์มานาน ซึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้นำทหารคนเดียวกับผู้ที่ทำการยึดอำนาจในช่วงรัฐประหารการประชุมเตรียมความพร้อมรอบแรกเพื่อพิจารณาปรับแก้ร่างข้อตกลง PCA ได้เริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และได้ข้อสรุปไปในการประชุมครั้งที่ 7 เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงถึงความเป็นไปได้ในการกลับมาเจรจา ETFTA ด้วยผู้แทนจาก European External Action Service (EEAS) ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของสหภาพยุโรปกล่าวในแถลงการณ์ว่า “ข้อตกลง PCA จะช่วยยกระดับการประชุมหารือทางการเมืองในประเด็นที่ทั่วโลกเป็นห่วงและจะช่วยสร้างขอบเขตสำหรับความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในอีกหลายนโยบาย”และกล่าวเพิ่มว่า “ข้อตกลง PCA จะเป็นโรดแมปกรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย – EU ในปีข้างหน้าที่กำลังมาถึง”Ms. Paola Pampaloni, Deputy Managing Director, EEAS และนางจุฬามณี ชาติสุวรรณ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้สรุปกระบวนการเจรจาความตกลง PCA ไปในวันศุกร์ที่ผ่านมาMr. David Daly เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวกับ DW ว่า “การลงนามอย่างเป็นทางการจะตามมา หลังจากการดำเนินการภายในของ EU และไทย”ความตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน Mr. Guillaume Rebiere, ผู้อำนวยการ European Association for Business and Commerce (EABC) กล่าวว่า “ความตกลง PCA จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อการเจรจาแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้า”ข้อมูลของสหภาพยุโรประบุว่า ในปี 2564 การค้าสินค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับไทยเพิ่มขึ้นเป็น 35.4 พันล้านยูโร (35.16 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 29.3 พันล้านยูโรในปีก่อน สหภาพยุโรปเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทยรองจากประเทศญี่ปุ่นMr. Guillaume Rebiere กล่าวเพิ่มว่า “ประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและการเมืองที่สำคัญ ดังนั้น ความตกลงนี้จึงมีความสำคัญ เพื่อเพิ่มบทบาทของสหภาพยุโรปในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ทั้งธุรกิจและนักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลง PCAMs. Trinh Nguyen นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องประเทศที่กำลังเติบโตในทวีปเอเชีย จากบริษัทบริหารการลงทุน Natixis กล่าวว่า “ความตกลงดังกล่าวนั้นสมเหตุสมผลสำหรับทั้งสองฝ่าย” “มันจะเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย เพราะทั้งคู่เต็มใจและกระตือรือร้นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความหลากหลายในแหล่งการลงทุน”หุ้นส่วนในการกระจายความเสี่ยงสำหรับประเทศไทยที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากมาเป็นเวลานาน การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนจากการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ประเทศไทยต้องทบทวนใหม่ถึงการพึ่งพาตลาดปักกิ่ง และเริ่มหาแหล่งธุรกิจจากตลาดอื่น โดยไทยทราบดีว่าประเทศไทยจะต้องขยายแหล่งเติบโตออกไปนอกเหนือจากสองหุ้นส่วนหลักของประเทศเดิม อย่างอเมริกา และ จีนMs. Trinh Nguyen กล่าวว่า “การขยายการเข้าถึงทางการค้าและการลงทุนกับสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดังกล่าว”Nguyen: “สหภาพยุโรปเองก็เริ่มส่งสัญญานความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย เพราะสหภาพต้องการขยับตัวออกจากประเทศจีน ผลจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และบรัสเซลส์เองก็มองว่ากรุงปักกิ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าด้วย”Nguyen กล่าวว่า “ความตั้งใจที่จะเจรจากับประเทศไทยผ่านการลงนามในกรอบความตกลงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ประเทศไทยแต่ยังรวมถึงประเทศทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอินเดียด้วย”ในเดือนธันวาคม สหภาพยุโรป และ ASEAN จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำระดับประเทศเป็นครั้งแรกในกรุงบรัสเซลส์ เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ 45 ปีแบบกลุ่มต่อกลุ่มข้อตกลงเขตการค้าเสรีจะตามมาเป็นลำดับถัดไปหรือไม่การสรุปข้อตกลง PCA อาจเป็นสัญญาณว่าทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) มากขึ้น หากเกิดขึ้น ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ EU ทำ FTA ด้วยMr. David Daly เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ย้ำว่า “ข้อตกลง PCA และกระบวนการ FTA ไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง”อย่างไรก็ตาม Nguyen กล่าวว่า “หากดูจากแผนการดำเนินงาน FTA ของ EU กับประเทศอื่นในเอเชีย มีความเป็นไปได้ว่า PCA จะตามมาด้วยการทำ FTA กับประเทศไทย จากตัวอย่างของประเทศเวียดนาม ที่ลงนาม PCA กับสหภาพยุโรปในปี 2558 เช่น และตามมาด้วยการอนุมัติ FTA อีก 4 ปีต่อมา “เรายังมีอุปสรรคอื่นๆ ที่ต้องข้ามผ่าน แต่แน่นอนว่าความตกลง FTA นั้นใกล้เข้ามาแล้ว”Mr. Bryan Tse หัวหน้านักวิเคราะห์ประเทศไทยจาก Economist Intelligence มองว่า ความตกลง FTA จะได้รับการลงนามระหว่างปีพ.ศ. 2567 ถึง ปีพ.ศ. 2569 เว้นแต่จะมีสถานการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นในขณะนี้กรุงเทพฯ กำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด หลังจากศาลรัฐธรรมนูญของประเทศติดสินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่งชั่วคราว เนื่องจากมีการพิจารณาว่า มีการการดำรงตำแหน่งเกินกำหนดระยะเวลา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่เข้ายึดอำนาจหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2557Mr. Bryan Tse กล่าวว่า “สหภาพยุโรปและไทยไม่ได้มีความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศจีน สหรัฐอเมริกา หรือสมาชิกอาเซียน ดังนั้นนี่จึงเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงสำหรับทั้งสองและยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเติบโตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแง่ของการค้าทั่วโลกสำหรับประเทศอื่นๆ”Edited by: Alex BerryNews published on Deutsche Welle, authored by David Hutt, Thai translation by TEFSOSource: Hutt, D., 2022. EU and Thailand cap turbulent decade with a partnership agreement. Deutsche Welle, [online] Available at: <https://www.dw.com/en/eu-and-thailand-cap-turbulent-decade-with-a-partnership-agreement/a-63019958> [Accessed 8 September 2022].


    Continue reading