VPA คืออะไร

VPA ย่อมาจาก Voluntary Partnership Agreements หรือ ข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ เป็นข้อตกลงการค้าไม้ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศผู้ผลิตไม้นอกสหภาพยุโรป เพื่อเป็นเครื่องมือในการขจัดการทำไม้ที่ผิดกฎหมายและป้องกันการนำไม้ดังกล่าวเข้ามาในตลาดสหภาพยุโรป ด้วยการพัฒนากฎระเบียบและการทำไม้ในประเทศผู้ผลิตให้มีธรรมาภิบาล และพัฒนาระบบในการตรวจรับรองไม้

VPA ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ส่วนประกอบสำคัญของ VPA คือ ระบบรับประกันความถูกต้องตามกฎหมายของไม้ (Timber Legality Assurance System : TLAS) ระบบดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อพิสูจน์ ติดตามตรวจสอบ และออกหนังสือรับรองให้กับไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจว่าไม้ที่ส่งออกนั้นเป็นไม้ที่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ VPA ยังประกอบไปด้วยภาคผนวกอีก 10 ภาคผนวกคือ

ขั้นตอนการเจรจา VPA

ขั้นตอนรายละเอียด
1. การให้ข้อมูล
  • EU ให้ข้อมูล FLEGT แก่ประเทศที่สนใจ
  • ประเทศผู้ผลิตไม้พิจารณาว่า VPA เป็นประโยชน์แก่ประเทศของตนหรือไม่
2. การเจรจาอย่างเป็นทางการ
  • ภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายหารือถึงระบบการรับประกันความถูกต้องตามกฎหมายของไม้
  • EU และฝ่ายรัฐบาลหารือกันถึงเนื้อหาในข้อตกลง VPA และระบบรับประกันความถูกต้องตามกฎหมายของไม้ (TLAS)
3. การลงนามและการบังคับใช้
  • EU และประเทศผู้ผลิตไม้ลงนามในข้อตกลง VPA
  • บังคับใช้ข้อตกลงและระบบ TLAS ในประเทศผู้ผลิต
4. การออกใบรับรอง FLEGT
  • ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ผ่านการรับรองจากระบบ TLAS
  • ไม้และผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง ได้รับหนังสือรับรอง FLEGT

ความก้าวหน้าในการทำข้อตกลง VPA

ปัจจุบันประเทศ VPA มีทั้งหมด 13 ประเทศ โดยมีความก้าวหน้าการดำเนินงานแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ ประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา ประเทศที่ได้สรุปการเจรจาแล้ว ประเทศที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และประเทศที่ออกหนังสือรับรอง FLEGT ในปัจจุบันมีเพียงประเทศอินโดนีเซียเท่านั้นที่ออกหนังสือรับรอง FLEGT

ประโยชน์ของ VPA

  1. พัฒนาการทำไม้และกฎระเบียบให้มีธรรมาภิบาล
  2. ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย
  3. ทำให้ไม้มีที่มาและการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  4. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน